วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

คำกลอนขึ้นต้นรายการ

คำกลอนขึ้นต้นรายการ

- - - - - - - - - -

                                _         ถึงฉันหิวฉันเหงาฉันหนาวเหน็บ                   ถึงฉันเจ็บฉันทุกข์ฉันถูกหยาม

                                                ฉันจะยืนเย้ยฟ้าสง่างาม                                     เชิดชูนามสกุลฉัน "พันธพัฒน์"

                                                ถึงฉันหิวฉันเหงาฉันหนาวเหน็บ                   ฉันขอสู้อยู่กรุงเทพแม้เจ็บล้า

                                                ในเมื่อฉันดั้นด้นดิ้นรนมา                                 ฉันจะเอาปริญญากลับนาดอน.

                               

_         เห็นเหงื่อแม่รินไหลอาบใบหน้า                     ยืนหว่านกล้าคนเดียวใจเหี่ยวเฉา

                พ่อจากไปใจแม่หม่นปนสีเทา                          เหลือเพียงเรากับแม่แค่สองคน

                พบรอยยิ้มของแม่ผู้แก่เฒ่า                 สีดอกเลาคือเส้นผมอมขาวหม่น

                แม่ทำนาอย่างรันทดสู้อดทน                             ไม่เคยบ่นว่าทุกข์ยากลำบากกาย

                แม่ทำนาคนเดียวเปล่าเปลี่ยวนัก                       พ่อคนรักก็ล่วงลับดับศูนย์หาย

                ส่วนอีกคนนั้นหรือคือลูกชาย                           กกลับมุ่งหมายบวชเรียนเพียรพระธรรม

                แม่เคยสอนก่อนมาบวชว่าลูกรัก                      อย่าเพลินพักเที่ยวเตร่เถลถลำ

                คำสอนแม่ลูกเคารพนบจดจำ                            ลูกจะนำปริญญากลับนาดอน.

 

_         บวชเป็นสงฆ์ปลงผมห่มผ้าเหลือง                 เพื่อสืบเนื่องเรื่องประกาศศาสนา

                เจริญรอยตามธรรมพระสัมมา                          มีสมญาว่า " พระ-เณร" มานมนาน

                อาศัยโยมเลี้ยงชุบอุปัฎฐาก                                อาหารปากน้ำข้าวทั้งคาวหวาน

                ปัจจัยสี่โปรดน้อมนำมาทำทาน                        เลี้ยงลูกหลานพระและเณรเป็นพระคุณ.

 

_         จากท้องนาแนวไพรไปสุดกู่                              จากที่อยู่ซ้ำซอกพอซุกหัว

                จากอดีตคัดแค้นแสนมืดมัว                               จากครอบครัวจากพ่อแม่ดุจแพลอย

                จากชีวิตต้อยต่ำซ้ำโดดเดี่ยว                               จากท้องนาเขียว ๆ เปลี่ยวใจหนอ

                จากพี่น้องและลุงอายังไม่พอ                            จากโยมพ่อโยมแม่แก่ที่ชรา

                จากความโหดร้ายโศกเศร้าและเหงาหงอย    จากคันไถ่ไร่นาจากป่าดอย

                จากคนหนึ่งซึ่งรอคอยให้กลับคืน………………..

                จากความซ้ำระกำทรวงที่ห่วงนัก                     จากความรักไร้ความหมายกลายเป็นอื่น

                จากชีวิตที่แสนอดทนกล้ำกลืน                         จากความชื้นที่เพียงฝันฉันจากมา

                สู้อ้อมอกศาสนธรรมนำชีวิต                             หมายลิขิตชีวิตต่ำให้ล้ำค่า

                ถึงลำบากกินพริกป่นปนน้ำตา                          แต่ก็ภูมิใจที่ว่า………ได้บวชเรียน

 

_         จากอีสานแดนดินถิ่นกำเนิด                             จากบ้านเกิดเมืองนอนจรศึกษา

                จากดินแดนแสนเศร้าเคล้าน้ำตา                      จากบ้านนามาอยู่กรุงเพื่อมุ่งเรียน

                วัดในกรุงหาอยู่ยากลำบากยิ่ง                            ขอพักพิงทั่วไปได้อ่านเขียน

                แม้ลำบากเพียงไรขอได้เรียน                            ได้อ่านเขียนแม้ทุกข์ใดไม่หวั่นเลย

                เป็นสามเณรสุดซ้ำระกำจิต                                สู้ชีวิตต่อไปไม่อยู่เฉย

                ตื่นแต่เช้าบิณฑบาตไม่ขาดเลย                         ถ้าอยู่เฉยมีที่ไหนจะได้กิน

                ฉันเช้าเสร็จไปเรียนเพียรศึกษา                        เด็กนักเรียนถามว่าพี่เณรอยู่วัดไหน

                อาตมาเลยยิ้มแล้วจึงตอบไป                              ที่อยู่ไซร้  เร่ร่อนสัญจรวนาราม.

 

_         ฉันเป็นเณรจากบ้านนามานานโข                   ซัดโซเซอยู่ในกรุงทุ่งโกสินทร์

                พ่อกับแม่คงเหงาเศร้าอาจินต์                           ใจถวิลถึงลูกเคยผูกพันธ์

                ลูกบวชเรียนอยู่เมืองกรุงมุ่งศึกษา                    มหาจุฬา ฯ หลายปีที่ผ่านผัน

                พ่อกับแม่รอลูกกลับเฝ้านับวัน                          คงจาบัลย์เหงาหงอยคอยลูกยา

                เสียงแคนพิณถิ่นอีสานกังวานซึ้ง                    เหมือนมนต์ตรึงให้ผวา

                ลมพัดไผ่ใบพลิ้วปลิวร่วงลา                              เหมือนสีกาเคยฝากรักจักลืมเรา

                มกราผ่านพ้นจนเมษา                                        พฤษภามาเยือนเตือนความเหงา

                เสียงเพลงขลุ่ยขับกล่อมน้อมลำเนา พอทุเลาหัวใจให้ผ่อนคลาย

                ทางลูกเดินยังอีกไกลให้ต่อสู้                             แสนหดหู่กว่าจะถึงซึ่งจุดหมาย

                อุปสรรคขวางกั้นนั้นมากมาย                           ลูกเหนื่อยกายบางครั้งหลั่งน้ำตา

                คิดถึงพ่อกับแม่ที่แก่เฒ่า                                     อีกน้องเราก็ยังเล็กเด็กเดียงสา

                ทั้งวัวความเป็ดไก่และไร่นา                              พร้อมสีกาที่ห่างเหินห่างระหว่างกาย.

                                                                                                                                                                                                                       

                                เห็นเหงื่อแม่รินไหลอาบใบหน้า                      ยืนหว่านกล้าคนเดียวใจเหี่ยวเฉา

                        พ่อจากไปใจแม่หม่นปนสีเทา                         เหลือเพียงเรากับแม่แค่สองคน

                        พบรอยยิ้มของแม่ผู้แก่เฒ่า                               สีดอกเลาคือเส้นผมอมขาวหม่น

                        แม่ทำนาอย่างรันทดสู้อดทน                           ไม่เคยบ่นว่าทุกข์ยากกำบากกาย

                        แม่ทำนาคนเดียวเปล่าเปลี่ยวนัก                      พ่อคนรักก็ลับล่วงดับสูญหาย

                        ส่วนอีกคนนั้นหรือคนลูกชาย                         กลับมุ่งหมายบวชเรียนเพียรพระธรรม

                        แม่เคยสอนก่อนมาบวชว่าลูกรัก                     อย่าเพลินพักเที่ยวเตร่เถลถลำ

                        คำสอนแม่ลูกเคารพนบจดจำ                          ลูกจะนำปริญญากลับนาดอน.

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โหวดแล้วคุณจะไม่โสด
14 กุมภาพันธ์ จำจนวันตาย
  โหวตให้หน่อยนะครับ...จุ๊บๆ